ตีแผ่ 10 Forward mails ลวงโลก -- ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ |
1. แก็งค์ขโมยอวัยวะ เนื้อหาของFWD << ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีกระแสข่าวเกิดขึ้นในหลายจังหวัดว่ามีแก็งค์รถตู้ออกตระเวนจับคนไปตัดอวัยวะ ฆ่าทิ้งโดยควักอวัยวะไป หรือลักพาตัวหายไป ... กระแสข่าวนี้ มีทั้งในทีวี วิทยุ โทรทัศน์ และ อินเตอร์เนท วิเคราะห์FWD >> ในเมื่อผมไม่ใช่ตำรวจ ก็คงไม่สามารถบอกได้ว่าจริงๆแล้วมีคนหายหรือตายในช่วงดังกล่าวเท่าไหร่ แต่มีข้อสังเกตบางสิ่งบางอย่างดังนี้ - ลักษณะข่าวหลายข่าว มีตั้งแต่การเจอศพที่ถูกฆ่าแล้วเปิดท้องเอาอวัยวะไป มีเด็กเจอจับแล้วก็มีคนควักลูกตาออกจากนั้นก็โยนเงินมาให้ มีคนโดนฆ่าทั้งครอบครัว ฯลฯ ... แต่หากลอง ถามย้อนสืบค้นกลับไปแล้วจะพบว่าไม่มีรายใดเลยที่ได้รับรู้ข่าวจากเหตุการณ์จริง - ไม่มีข่าวใดขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ - การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องใช้ห้องผ่าตัดและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในเมืองไทยทำได้ไม่กี่ที่ มีคนทำได้จำนวนไม่มาก - หลังการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องกินยาควบคุมภูมิคุ้มกันไป'ตลอดชีวิต'และต้องตรวจอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งผู้ที่เปลี่ยนอวัยวะในเมืองไทยจะมีอยู่จำนวนนึง ... ถ้ามีคนไทยที่ได้รับการเปลี่ยนอวัยวะอย่างผิดกฎหมาย ก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่มีใครรู้ใครเห็น - ที่สำคัญที่สุด ความสดของอวัยวะ ... เทคนิคที่จะทำให้อวัยวะสดใหม่พอที่จะนำไปปลูกถ่ายให้กับคนป่วยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ... การฆ่าคนแล้วเอาอวัยวะไปหลังจากคนๆนั้นตายแล้วเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะอวัยวะนั้นมักจะเสียคุณภาพและมีโอกาสที่จะเสียมาก ... ถ้าจะทำจริงๆน่าจะลักพาตัวไปจะง่ายกว่า - และจากข้อข้างบน ... การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ต้องทำการจับคู่อวัยวะของทั้งผู้ให้และผู้รับ ... ดังนั้นการจะลักอวัยวะ ต้องทำการตรวจเลือดของผู้ให้และผู้รับและจับคู่กันให้ได้ (ส่วนมากมักเป็นญาติกัน โอกาสจะเจอจากคนที่ไม่ใช่ญาตินั้นน้อย) การที่ไปดักฆ่าใครมั่วๆซั่วๆแล้วตัดอวัยวะไป จึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีขบวนการใด งี่เง่าพอที่จะไปทำ(เพราะไม่คุ้มทุน) ที่มาของFwd : Fwdลักษณะนี้มีในอเมริกามาตั้งแต่ปี1998แล้วครับ 2. การกินวิตามินC ร่วมกับการกินกุ้งทำให้ตายได้ เนื้อหาของFWDในไทย << เป็นเรื่องราวที่เกิดในไต้หวันโดยมีกรณีที่พบผู้หญิงตายโดยไม่ทราบสาเหตุและมีศาสตราจารย์คนนึงไปร่วมชันสูตร และก็บอกว่าผู้หญิงคนนี้ตายจากการที่กินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ซึ่งเข้าไปทำปฏิกิริยากับสารหนูชนิดไม่มีพิษ As2O5 กลายเป็น As2O3 หรือสารหนูชนิดที่เป็นพิษทำให้ตายแบบเลือดไหลออกหมดตามทวาร วิเคราะห์FWD >> จับผิดได้หลายจุด - ข้อแรก ไม่มีรายงานทางการแพทย์ฉบับใดที่รายงานการเกิดพิษจากสารหนูจนถึงตาย จากการกินกุ้งพร้อมกับวิตามินซี ... ถ้ามันเป็นเรื่องที่ง่ายขนาดที่ศาสตราจารย์ทางการแพทย์ไต้หวันรู้ในพริบตาเดียว ก็น่าจะมีตำราหรือรายงานการแพทย์สักฉบับในโลกที่กล่าวถึง - กุ้งจะไปเอาสารหนูในระดับที่ฆ่าคนได้มาจากไหนโดยกุ้งไม่ตาย ... อย่าลืมว่าสารหนู(As) เป็นธาตุไม่ใช่สารประกอบ ดังนั้นไม่มีทางผสมสารใดๆแล้วบังเอิญกลายมาเป็นสารหนูได้ ถ้าไม่มีสารหนูเป็นตัวตั้งต้น - As2O5 จะเปลี่ยนเป็น As2O3ได้ ต้องใช้อุณหูมิ 300 องศาเซลเซียส - As2O3 หรือ อาร์เซนิกไตรออกไซด์ มีพิษก็จริง แต่พิษของมันถ้าเกิดเฉียบพลันจะก่อให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง อาเจียนมาก ... ไม่ใช่เลือดออกทุกทวาร - As2O5 หรืออาร์เซนิกเพนตาออกไซด์ก็มีพิษ กุ้งที่ไหนจะรับได้ ที่มาของFWD : พบFWDนี้ในinternet ตั้งแต่ปี2001 โดยเริ่มแรกจากข้อความสั้นๆและได้โดนพิสูจน์ว่ามั่วไปนานแล้ว แต่เมื่อเข้ามาในไทยในปี2007ก็ขยายความยาวของเนื้อหาและรายละเอียดหลายส่วนที่แก้ต่างข้อพิสูจน์เหล่านั้นไป จริงๆเป็นForward Mail ที่ไม่น่าเชื่อถืออันนึง แต่โชคไม่ดีที่มีสื่อบางแขนงเอาไปเผยแพร่โดยไม่ได้ทำการตรวจสอบให้ดี(ทั้งที่ยุคนี้การตรวจสอบข่าวสารทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนเยอะ หรือแค่ถามแพทย์ที่ทำงานให้กับองค์กรสื่อแห่งนั้นก็ยังได้) ซึ่งจากการเผยแพร่ของสื่อนั้น ยิ่งทำให้คนที่ไม่รู้เข้าใจไปว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง 3. รู้ไหม ถ้าคุณกำลังจะหัวใจวาย การไอสามารถช่วยคุณได้ เนื้อหาของFWD << เริ่มด้วยการสมมุติว่ากำลังขับรถกลับบ้านตอนเย็น จากนั้นก็เจ็บหน้าอกเกิดอาการหัวใจล้มเหลว ... ซึ่งรู้ว่าต้องช่วยด้วยการนวดหัวใจ แต่การนวดหัวใจ (CPR cardiopulmonary resuscitation)ต้องทำโดยคนอื่น แล้วถ้าคุณกำลังจะหัวใจหยุดเต้นใครจะช่วยได้ ... ในเนื้อหาอ้างว่าการผายปอดด้วยการไอ หรือนวดหัวใจด้วยการไอ (Cough CPR) เป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยสถาบันการแพทย์และถูกบรรจุในหลักสูตร โดยให้ไอไปเรื่อยๆเป็นจังหวะเพื่อกระตุ้นหัวใจให้ทำงาน วิเคราะห์FWD >> - เมล์ดังกล่าวจะมีการอ้างสถาบันสุขภาพของอเมริกาหลายแห่ง แต่อันที่แพร่หลายในไทยจะอ้าง JOURNAL OF GENERAL HOSPITAL ROCHESTER และ American Heart Association ... ซึ่งสิ่งที่ค้นพบคือทั้งสองแห่งได้มีข้อความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ชัดเจนว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าว http://www.viahealth.org/body_rochester.cfm?id=329 อันแรกเป็นLinkของโรงพยาบาล Rochester ที่ยืนยันว่าไม่เคยมีการแนะนำดังกล่าวในวารสารของโรงพยาบาล และทางAmerican heart association หรือสมาคมโรงหัวใจสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ของการแพทย์ด้านหัวใจของโลก ก็ได้มีความเห็นในwebsite เกี่ยวกับเรื่องCough CPRไว้ดังนี้ครับ http://www.americanheart.org/presenter.jhtml?identifier=4535 ซึ่งสรุปใจความสั้นๆไว้ชัดเจนว่า - การนวดหัวใจด้วยการไอ มีใช้ก็เฉพาะกรณีที่กำลังทำการสวนหัวใจอยู่แล้วไปสะกิดโดนบางจุดจนเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งแพทย์ที่สวนหัวใจจะสั่งให้คนไข้ไอ - ไม่เคยมีการสอนให้ทำCough CPR ในคำแนะนำสากลแก่ประชาชน (หรือบุคลากรทางการแพทย์ทั่วไป) นอกจากนี้ - อาการเจ็บหน้าอก เป็นอาการของหัวใจขาดเลือด Myocardial Iscemia หรือ Myocardial Infarct การแก้ไขคือ พยายามให้ผู้ที่มีอาการ อยู่นิ่งๆและหยุดกิจกรรมต่างๆ อมยาใต้ลิ้นเพื่อลดอาการเจ็บปวด และกินยาป้องกันเกร็ดเลือดแข็งตัว จากนั้นก็รีบไปโรงพยาบาล - การพยายามไอมากๆในคนที่มีอาการเจ็บหน้าอกของโรคหัวใจเป็นการออกแรง ซึ่งน่าจะให้ผลเสีย(ถึงตาย) มากกว่าผลดี - หัวใจเต้นผิดจังหวะที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัดอื่นๆ ไม่ได้รักษาด้วยการไอ - แรงดันในช่องอกจากการไอ ไม่เพียงพอที่จะนวดหัวใจให้พ่นเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ - ถ้าหัวใจของใครสักคนหยุดเต้น ความดันเลือดจะตกลงจนสมองหยุดทำงาน ... ซึ่งรวดเร็วเกินกว่าที่สมองจะสั่งการให้ไอได้ทัน สรุปแล้วดูเหมือนกับว่านอกจากจะไม่มีประโยชน์แล้ว หากผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอาการเจ็บหน้าอกคนไหนเอาไปใช้ ก็อาจจะเกิดอันตรายได้มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ 4. สูบบุหรี่ผิดด้าน ไปจุดเอาก้นกรองจะทำให้เป็นหมัน เนื้อหาของFWD << บอกว่าในก้นกรองบุหรี่มีสารเคมีที่ทำให้เป็นมะเร็งและทำให้เป็นหมัน วิเคราะห์FWD >> ค่อนข้างพิสูจน์ได้ง่าย - ก้นกรองบุหรี่ ทำมาจากสารพวกเซลลูโลส พูดง่ายๆว่าทำมาจากเยื่อไม้ ... จากนั้นก็เอามาทาสีข้างนอกเป็นสีน้ำตาล สีขาว ฯลฯ ดังนั้นสูบก้นกรองเข้าไปก็ไม่ได้มีอันตรายเพิ่มไป กว่าเดิม ที่จริง ก้นกรองเป็นส่วนที่ปลอดภัยที่สุดของบุหรี่ครับ - ก้นกรองบุหรี่ที่อันตราย คือก้นกรองบุหรี่แบบเก่าๆ ที่ทำมาจากแร่ใยหิน Asbestos สรุปแล้วมั่วมากครับ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าคนอ่านแล้วจับผิดได้ง่าย เมล์FWDนี้เลยไม่ค่อยแพร่หลายนัก ที่สำคัญ เจ้าสารที่ทำให้เป็นหมันและมะเร็ง อยู่ในตัวยาสูบ ไม่ใช่ก้นกรอง ดังนั้นถ้าใครสูบบุหรี่อยู่แล้วสูบผิดด้านก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะด้านที่สูบตามปกติ ก่อมะเร็งได้ง่ายกว่าก้นกรองเป็นพันเท่า 5. กินฉี่หนูที่เปื้อนกระป๋องน้ำอัดลม ... ตาย!!! เนื้อหาของFWDในไทย << เมล์เก่าแก่นี้เริ่มตั้งแต่เตือนว่าการมีคนตายจากการกินน้ำอัดลมโดยไม่ได้เช็ดที่ปากกระป๋อง จึงกินฉี่หนูที่ติดตรงนั้นเข้าไป หลังจากนั้นก็ป่วยหนักและตาย ... ต่อมาก็เริ่มมีการกล่าวอ้างเพิ่มขึ้น มีทั้งบอกว่าต้องไปรักษาที่รพ. หมอบอกว่าเป็นโรคฉี่หนู ต้องส่งมารักษาที่กทม. เสียเงินเป็นล้าน , มีการกล่าวอ้างว่าฉี่หนูเฉยๆกินเข้าไปก็ตายได้ , หรือแม้แต่ระบุที่ท้ายของFwd เป็นเบอร์โทรศัพท์ของกองสาธารณสุข วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้ใครที่ทำงานด้านสาธารณสุข จะรู้ทันทีหลังจากอ่านว่า"มั่ว" , ใครที่บ้านมีหนูจะรู้ว่าเรื่องมันทะ:-)ๆ - โรคฉี่หนูชนิดรุนแรง จะมีอาการไข้สูงหนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ตัวเหลืองตาเหลือง ... ซึ่งอาการในเมล์มักจะเป็นอาการที่ไม่ใช่ - ฉี่หนูปกติ ต่อให้กินเข้าไปก็ไม่ตายครับ ฉี่หนูที่มีเชื้อกินเข้าไปโอกาสติดเชื้ออาจจะมีแต่น้อยมากๆ(ลงกระเพาะก็ตายไปเกือบหมด ถ้าจะติดก็คงจากแผลในปาก) ... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังค้นหาเอกสารทางการแพทย์ที่บอกว่าฉี่หนูติดได้ง่ายๆจากการกินไม่พบเลย - บ้านใครมีหนู คงรู้นะครับว่าฉี่หนูแห้งๆกลิ่นมันขนาดไหน ใครจะกินได้ ที่มาของFWD นี้ มันกระจายในอเมริกามาตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งอเมริกามีโรคฉี่หนูไม่มากเท่าเมืองไทย forwardเมล์นี้เลยค่อนข้างอยู่ยงคงกระพัน และถูกส่งไปส่งมาเรื่อยๆครับ 6. โค้ก เป็นสิ่งอันตรายมาก (ทำให้กระดูกผุ) ตัวอย่าง FWD http://www.maama.com/reading/view.php?id=001590 เนื้อหาของFWD << เนื้อหาในนั้นจะกล่าวถึงการคุณสมบัติที่ทำให้โค้กดูเหมือนเป็นน้ำอัดลมที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เป็นกรดที่รุนแรง ... ลำพังตัวฟอร์เวิร์ดนี้จะไม่มีอะไร แต่มันเป็นการไปตอกย้ำความเชื่อที่ว่าการดื่มน้ำอัดลมทำให้กระดูกผุ น้ำอัดลมเป็นสารที่อันตราย ฯลฯ วิเคราะห์FWD >> - ถ้าตามเข้าไปดูในข้อมูลต่างๆในนั้น จะเห็นว่าเป็นข้อมูลที่ดูแล้วทำให้โค้กเป็นวัสดุกัดกร่อนที่มีฤทธิ์รุนแรง สามารถกัดกร่อนสิ่งต่างๆได้ การใช้งานก็ดูน่ากลัวสำหรับของที่จะเอามากิน - (ปัจจัยในเวบบอร์ดต่างๆ และความเชื่อสมัยก่อน บอกว่าการดื่มน้ำอัดลมทุกชนิดทำให้กระดูกผุ เพราะกรดในน้ำอัดลมจะไปละลายกระดูก) - โค้กมีpH ที่ประมาณ2.5 อันนี้ก็จริง ... แต่ - น้ำมะนาวมีpH 2-2.5 ส่วนกรดในกระเพาะอาหาร มีpH 1.5-2 กัดกร่อนยิ่งกว่าโค้กเสียอีก เรื่องคุณสมบัติที่ว่านั้นหากเอาน้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูไปแทนที่ก็ทำได้เหมือนกัน (แต่Apple cider vinegarดันบอกว่าดีต่อสุขภาพ ทำไมไม่บอกว่ากัดกระดูกล่ะ) - ในต่างประเทศของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมีราคาแพง ในขณะที่โค้กมีราคาถูกมากและมีแพร่หลายทุกพื้นที่ ก็ไม่แปลกนักที่ชาวต่างชาติเขาจะใช้โค้กในการทำความสะอาดหรือใช้งานกันแปลกๆ (ก็มันประหยัด) - เรื่องฤทธิ์กัดกร่อนกระดูกนั้น ที่จริงทางการแพทย์เคยเชื่อกันมานานและแนะนำอย่างนี้กันมานาน แต่ว่าในระยะหลังๆเริ่มมีงานวิจัยออกมาคัดค้าน เพราะว่ามีข้อสังเกตว่า กรดฟอสฟอริกที่เคยเชื่อว่าทำลายกระดูกก็มีในอาหารหลายชนิด แต่ว่าไม่ปรากฏว่าจะทำให้เกิดกระดูกพรุนได้ - งานวิจัยล่าสุดเมื่อปีที่แล้วในชุด The Framingham Osteoporosis Study ระบุถึงความเกี่ยวข้องของน้ำอัดลมต่อมวลกระดูก ก็บอกว่ามีโค้ก (แต่ไม่รวมถึงน้ำอัดลมแบบอื่นๆ)ที่ทำให้เกิดมวลกระดูกลดลง (แถมเกิดเฉพาะในผู้หญิง) http://www.ajcn.org/cgi/content/abstract/84/4/936 ... เลยทำให้ต้องกลับไปดูกันอีกว่า ตกลงแล้วน้ำอัดลมทำให้กระดูกพรุนได้อย่างที่เคยเชื่อจริงหรือ - ข้อมูลที่บอกว่าดื่มน้ำป้องกันมะเร็งได้ อันนี้ไม่มีหลักฐานการวิจัยที่สนับสนุนชัดเจน ดังนั้นเมื่อดูจากข้อมูลแล้วถ้าดูเผินๆจะไม่มีอะไร แต่มันสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าใจผิดว่าการดื่มน้ำอัดลมก่อให้เกิดการกัดกร่อนในกระเพาะ(โรคกระเพาะ ?) และก่อโรคกระดูกพรุน ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยวข้องกัน ..... และความไม่มีอะไรและการที่ความเชื่อเรื่องน้ำอัดลม"กัดกระดูก"มันเป็นควาเชื่อมานาน พอมีคนออกมาคัดค้านก็อาจจะโดนมองว่าไม่น่าเชื่อถือ ข้อมูลเพิ่มเติม - แต่การดื่มน้ำอัดลมกลุ่มที่มีน้ำตาล ก่อให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานชัดเจน - การดื่มน้ำอัดลมที่ใส่สารทดแทนความหวาน ก็ก่อความเสี่ยงเรื่องโรคอ้วนและเบาหวานได้เช่นกัน 7. Cravit ยาอันตรายที่ต้องระวัง ตัวอย่าง FWD http://www.fwdder.com/topic/11326 เนื้อหาของFWD << เนื้อหากล่าวถึงการที่แพทย์จ่ายยาอย่างไม่จำเป็นเพียงเพื่อหวังยอดขายและเงินส่วนแบ่ง ในนั้นอ้างว่ายาจะทำให้กล้ามเนื้อถูกทำลาย มีการสร้างความน่าเชื่อถือโดยการอ้างว่ามีเภสัชกรมายืนยันว่าไม่ต้องกินก็ได้ ... และมีการแสดงตัวอย่างที่บอกว่าการกินยาตัวนี้ทำให้คนดีๆต้องมีอาการหนักขึ้น วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้คนที่สร้างFWDน่าจะเป็นคนไทย ซึ่งขอแยกประเด็นเป็นดังนี้ครับ - เรื่องการสั่งยาโดยไม่จำเป็น ... การให้ยาCravit โดยไม่จำเป็น ถามว่ามีไหมก็คงจะมี แต่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังในการวิจารณ์ เนื่องจากผมเองเป็นหมอเอง เอายาที่หมอหรือ เภสัชกรจ่ายให้คนไข้มาดู ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่ายานั้นเหมาะสมหรือไม่ ดังนั้นเรื่องที่ว่าจำเป็นหรือไม่ต้องไปดูกันเป็นรายๆไป (ดังนั้นประเด็นนี้ไม่วิจารณ์ เพราะถ้าวิจารณ์จะเกิดการโต้เถียง) และเรื่องค่าคอมมิชชั่น อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ จะเห็นว่าเรื่องนี้จับเอาคนสองฝ่ายมาชนกันในFWD คือ หมอและเภสัชกร ... ซึ่งถ้าเถียงไปเถียงมา อาจจะเกิดกระทบกระทั่งกันเองได้ (ดังนั้นเรื่องผลประโยชน์ผมว่าคุยกันวันหลังดีกว่านะครับ) - ในFWDบอกว่ามันเป็นยาแก้ปวดแต่ที่จริง Cravit เป็นตัวยาที่มีชื่อว่า Levofloxacin เป็นยาปฏิชีวนะ ที่มักใช้ในการรักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและปัสสาวะ ... ในเมืองไทยการจ่ายยาตัวนี้แบบมีข้อบ่งชี้ ก็คือ การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่คาดว่าเชื้อจะดื้อยา ปอดบวม และ กรวยไตอักเสบ (แต่ปกติไม่ได้ใช้เป็นตัวแรกเพราะมันมีผลข้างเคียง) - ข้อดีของยาตัวนี้ที่ทำให้นิยมในรพ.เอกชนคือ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และ ไม่ต้องฉีดยา - อาการที่ในFWD กล่าวถึงผู้หญิงฝ่ายMarketing พิสูจน์ไม่ได้ว่าเกิดจากยาหรือเกิดจากโรค เพราะสมมุติว่าคนนั้นเป็นกรวยไตอักเสบ อาการของกรวยไตอักเสบก็สามารถทำให้อาการหนักจนเข้าโรงพยาบาลได้เช่นกัน - ถ้ายามันมีผลเสียจนมากเกินผลดีจริงๆ ในอเมริกาคงมีการฟ้องกันวุ่นวายแล้ว - และถ้ามีผลเสียต่อสุขภาพถึงขนาดเป็นยาอันตรายที่ไม่ควรกิน ประโยชน์มากกว่าโทษ FDA เขาตัดทิ้งครับ ... เผลอๆบริษัทแม่เอาออกจากตลาดเอง เพราะว่าถ้าบริษัทเหล่านั้นโดนฟ้อง เขาถือว่าไม่คุ้มกัน โดยสรุปแล้ว หากใครได้รับยานี้จากแพทย์ และคุณคิดว่าไม่มีความจำเป็น(แพง)หรือไม่อยากกิน(กลัว) ให้บอกกับแพทย์ตรงนั้นไปเลยครับ เพราะว่าถ้าคุณเกิดจำเป็นต้องกินยานั้นขึ้นมาแล้วคุณไม่กิน อาจจะเกิดอันตรายจากการติดเชื้อได้ ... หรือถ้าหากกินยาแล้วไม่ดีขึ้นแทนที่จะไปโทษว่ายาเป็นสาเหตุน่าจะต้องระวังเรื่องการติดเชื้อที่รุนแรงเกินกว่ายาจะรับมือไหวดีกว่าครับ ปล. ยาตัวนี้ผมก็เคยกิน 8. ขวดน้ำPETไม่ควรใช้ซ้ำ เพราะว่ามีสารก่อมะเร็ง เนื้อหาของFWD << กล่าวอ้างถึงกรณีเด็กที่กินน้ำจากขวดน้ำใช้ซ้ำเป็นเวลาหลายเดือน จนกระทั่งตายลง ... ในเมล์มีข้อมูลว่าในขวดจะมีสาร DEHA ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ในเมล์เวอร์ชั่นหลังๆ จะมีการค้นเอาข้อมูลการก่อมะเร็งของสารดังกล่าวมาโชว์ด้วย วิเคราะห์FWD >> เมล์นี้เป็นเมล์แรกๆที่ผมพยายามค้นหาคำตอบ เพราะปกติจะใช้ขวดน้ำซ้ำๆ - FDA หรืออย.อเมริกาถือว่าขวดPETปลอดภัยในการใส่อาหาร - งานวิจัยที่บอกว่าขวดPET มีสาร DEHA คือ http://www.riskworld.com/Abstract/2001/SRAam01/ab01aa189.htm ซึ่งเป็น Thesis ของนักศึกษาปริญญาโทหรือเอกนี่แหละ ... ซึ่งจากข้อมูลหลายที่ระบุว่าเกิดความเข้าใจผิดในชื่อย่อของสาร และการปนเปื้อนสารในการทดลองมากกว่า - สารDEHAในเมล์ไม่ว่าของไทยหรือฝรั่ง จะลงชื่อว่า diethylhydroxylamine ... แต่ว่าสารที่ใช้ในการทำขวด PET คือ Diethylhexyl adipate - ข้อมูลในIARC http://www.inchem.org/documents/iarc/vol77/77-02.html ของสารDI(2-ETHYLHEXYL) ADIPATE สรุปสั้นๆด้านล่างว่า "not classifiable as to its carcinogenicity to humans " - การระบุว่าขวดต่างๆให้ใช้ครั้งเดียวทิ้ง... เป็นมาตรการเดียวกันกับที่เขียนไว้ที่หนังสือการ์ตูนว่า "เฉพาะสำหรับอ่าน" (ห้ามเอาไปเช็ดก้น) ผู้ผลิตมุ่งเรื่องป้องกันการนำไปใช้ซ้ำแล้วล้างไม่สะอาดทิ้งไว้จนอาจจะเกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียได้ครับ 9. ดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ทำให้เป็นมะเร็ง ตัวอย่าง FWD http://bbs.srp.ac.th/showthread.php?t=2902 เนื้อหาของFWD << บอกถึงการดื่มน้ำเย็นๆลงไป จากนั้นน้ำเย็นไปทำให้ไขมันจับเป็นก้อนสีขาวๆและไปจับลำไส้กลายเป็นมะเร็ง วิเคราะห์FWD >> เอ่อ......-_-' อ่านดูเหมือนจะดี แต่ไร้สาระครับ - ต่อให้กินอาหารที่เป็นมันๆลงไปแล้วดื่มน้ำเย็นตามจนเกิดไขมันจับเป็นลิ่มๆในท้องจริง แต่ท้องเราอยู่ในลำตัว ดังนั้นสักพักอุณหภูมิจะเปลี่ยนกลับเป็น 37องศาอย่างรวดเร็ว เดี๋ยวมันก็กลายเป็นน้ำมันอยู่ดี - ในชีวิตจริง เรากินมันหลายชนิดที่เป็นก้อนๆอยู่แล้ว ดังนั้นไขมันบางตัวจะไม่ละลายตั้งแต่ต้น - กระบวนการย่อยไขมันใช้น้ำย่อย ... เป็นปฏิกริยาทางเคมี ต่อให้มันเป็นก้อนก็ย่อยสลายอยู่ดี - สมมุติยังกลัวว่ามันจะไปจับลำไส้จริง ลำไส้คนเรามีการผลัดเซลล์เป็นระยะ ดังนั้นมันจับได้จับไป เดี๋ยวก็หลุดออกมาเอง - ที่สำคัญที่สุด *** การเป็นมะเร็งในลำไส้ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำเย็นครับ ... ถ้าจะเกี่ยวก็เกี่ยวกับการกินไขมันเยอะน้ำตาลเยอะกินกากใยน้อย ดังนั้นแก้ปัญหาผิดจุดเอามากๆ *** จริงๆเป็นหนึ่งในฟอร์เวิร์ดที่ไร้สาระจนอาจจะไม่มีค่าควรเอามาไว้ แต่มันมีเหตุผลบางอย่างครับที่ทำให้ผมต้องเอามาใส่ไว้ ... ถ้าเจ้าตัวบังเอิญผ่านมาเห็นรบกวนอ่านด้วยแล้วกันครับ 10. ระวังแมงมุมใต้ห้องน้ำเครื่องบิน / ระวังแมงมุมเทลาโมเนีย ตัวอย่าง FWD http://www.saranair.com/article.php?sid=9292 ภาษาไทย http://www.health2know.com/killer-spider-on-the-loose-the-twostriped-telamonia ภาษาอังกฤษ พร้อมรูป เนื้อหาของFWD << เล่าถึงแมงมุมพิษร้ายแรงบนเครื่องบินที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาก่อเหตุที่มาเลเซีย วิเคราะห์FWD >> เรื่องนี้สืบค้นยากหน่อยนึง เพราะว่าเป็นภาษาไทยหมดโดยถูกแปลมาอีกที แต่เมื่อค้นจากชื่อแมงมุมกลับเป็นภาษาอังกฤษ เรื่องราวก็กระจ่าง - แมงมุมเทลาโมเนีย เป็นแมงมุมกระโดดครับ (ไอ้ตัวเล็กๆที่โดดไปมาตามพื้นนี่แหละ) กัดคนได้ยังไงยังน่าสงสัยอยู่ - เมล์แบบนี้มีหลายversionมากๆๆๆ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อแมงมุม เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุ ... อันแรกๆอยู่ในอเมริกา จากนั้นก็เปลี่ยนที่ไปมาจนกระทั่ง เปลี่ยนที่เป็นเกิดเหตุในกัวลาลัมเปอร์ ก็ได้มีคนแปลเป็นภาษาไทยเนื่องด้วยเห็นว่าอยู่ใกล้เมืองไทย !!! - พวกนี้มันจะอาศัยในเครื่องบินได้ยังไงครับ (หรือว่าเครื่องบินมีหนอนกะหล่ำให้มันกิน) สรุปแล้ว ความหวังดีของผู้ที่ได้รับเมล์แล้วแปลออกมา ก็ทำให้เกิดความตื่นกลัวแมงมุมขึ้นมา(อีกครั้ง) |
วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551
ตีแผ่ 10 Forward mails ลวงโลก -- ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น